อาการผมร่วง หรือผมบาง แม้จะไม่ใช่ปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญนั้น แต่ส่งผลให้ผู้เผชิญ ปัญหาดังกล่าว ขาดความมั่นใจจนอาจเป็นสาเหตุทำให้เสียบุคลิกภาพที่ดีไปได้ การแก้ไขปัญหาผมร่วง หรือผมบางมี มากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทอผม,ปลูกผม หรือการใช้วิก การใช้ยาก็เป็นอีกทาง เลือกหนึ่ง ที่ค่อนข้างสะดวก ไม่ยุ่งยาก
ในปัจจุบันยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการผมร่วง หรือผมบาง แบบพันธุกรรม นอกจาก Minoxidil แล้ว ยังมียาตัวใหม่แบบรับประทานที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีในผู้ชาย คือ ยา Finasteride ความจริงแล้วยานี้ก็ไม่ใช่ยาใหม่ซะทีเดียว เนื่องจากมีการนำมาใช้สำหรับรักษาโรคต่อม ลูกหมากโตในผู้ชายแล้วทำไมถึงสามารถนำมาใช้ ในการรักษาอาการผมร่วงได้ ?
1. Finasteride ใช้ในการรักษาผมร่วงในผู้ชาย ที่มีปัจจัยมาจากพันธุกรรมหรือฮอร์โมนเพศชาย (Androgen alopecia) ฮอร์โมนที่กล่าวถึงนี้ หมายถึง Dihydrotestosterone (DHT) ฮอร์โมนเพศชายทำให้ผม ร่วงได้อย่างไร ? Testosterone เป็นฮอร์โมนเพศชาย ที่ถูกหลั่งออกมาจากอัณฑะและต่อมหมวกไต ซึ่งจะถูกเปลี่ยนไปเป็น Dihydrotertosterone (DHT) โดย Enzyme 5 ต-reductase type II ที่บริเวณระบบสืบพันธุ์และต่อมที่หนังศีรษะ โดยที่ผลต่อต่อมลูกหมากจะทำให้มีการเจริญที่ต่อมลูกหมาก ส่วนผลต่อมผมที่หนังศีรษะ คือจะทำให้ต่อมผมหดเล็กลงและยับยั้งการเจริญของเส้นผม ดังนั้นอาการผมร่วงก็เนื่องมาจากระดับ DHT สูงขึ้นนั่นเอง
Finasteride ออกฤทธิ์ในการรักษาอาการผมร่วงได้อย่างไร ? Finasterideออกฤทธิ์ได้โดยการยับยั้งเอนไซม์ 5 ต-reductase typeII เป็นผลให้การเปลี่ยนแปลงจาก Testosterone ไปเป็น DHT ลดลง เป็นผลให้ผมร่วงลดลง เพิ่มการงอกของเส้นผม และป้องกันไม่ให้ผม ร่วงอีก ซึ่งยานี้มีข้อบ่งใช้เฉพาะอาการผมร่วงในผู้ชาย
ส่วนผู้หญิงและเด็กไม่มีข้อบ่งใช้ของยานี้ ขนาดของยาที่แนะนำให้รับประทาน คือ 1 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด อาจให้พร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ โดยทั่วไปแล้ว จะเห็นผลในการเพิ่มการงอกของเส้นผม และ/หรือการป้องกันผมร่วงต่อไปก็เมื่อใช้ยาติดต่อ กันนาน 3 เดือน หรือมากกว่า และควรใช้ยาต่อไป เพื่อใหhได้ผลการรักษาสูงสุด
การหยุดยาจะมีผลทำให้กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนใช้ยาภายใน 12 เดือน อาการข้างเคียงของยาที่อาจเกิดในขนาดที่ใช้รักษาอาการผมร่วง มักไม่รุนแรง และไม่จำเป็นต้องหยุดยา อาการข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ความรู้สึกทางเพศลดลง ความผิดปรกติในการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย และปริมาณน้ำอสุจิลดลง ซึ่งพบว่าไม่แตกต่างจากก่อนใช้ยามากนัก อาการข้างคียงจะหายไป เมื่อหยุดยา และจากการศึกษาในผู้ชายพบว่า มากรายใช้ยาต่อ อาการก็หายไปเอง
ส่วนขนาดยาที่ใช้ในการรักษาต่อมลูกหมาก คือ 5 มิลลิกรัม ต่อวัน จะเห็นว่ามีการใช้ยาที่มีขนาดสูงกว่า ในการรักษาอาการผมร่วงในผู้ชาย ซึ่งจะทำให้พบอาการข้างเคียงเพิ่มขึ้นด้วย จึงไม่แนะนำให้ใช้ขนาด ยาที่มากกว่า 1 มิลลิกรัม ในการรักษาผมร่วง ซึ่งนอกจากจะไม่เพิ่มผลการรักษาจากเดิมแล้ว มีแต่จะทำให้ผลข้างเคียงเพิ่มขึ้น
2. ไมนอกซิดิล โลชั่น (Minoxidil Lotion) ยานี้มีชื่อทางการค้ามากมาย อาทิเช่น Rogaine ,Reten ฯลฯ เนื่องจากผลิตออกจำหน่ายมาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี
ยา ไมนอกซิดิล โลชั่น (Minoxidil Lotion) ลักษณะของยาเป็นน้ำ มีความเข้มข้นตั้งแต่ 2-5 % ใช้ได้ทั้งเพศหญิงและชาย แต่ในผู้หญิงจะได้ผลดีกว่า ใช้ทาที่หนังศีรษะบริเวณที่มีผมเส้นบางๆอยู่ ครั้งละ 1 มิลลิลิตร (ซีซี) วันละ 2 ครั้ง
ควรทายาให้โดนที่หนังศีรษะเพื่อการออกฤทธิ์ของยาที่ดี ยานี้ค่อนข้างปลอดภัย มีการดูดซึมของยาน้อยมาก ขนาดความเข้มข้น 5 % ได้ผลในการรักษาดีกว่าชนิด 2 % แต่พบผลข้างเคียงได้มากกว่า ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ คือ เกิดการระคายเคืองของหนังศีรษะบริเวณที่ทายา อาจมีขนขึ้นตามใบหน้า ซึ่งเมื่อหยุดยาแล้ว อาการดังกล่าวมักหายไปได้เอง
ควรใช้ยาติดต่อกัน อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ก่อนที่จะประเมินผลการรักษา หากใช้แล้วได้ผลจำเป็นต้องใช้ยาตลอดไป หากหยุดยา ผมที่ขึ้นมาใหม่จะหลุดร่วงไป จนกลับสู่สภาพเดิม ในบางราย อาจพบว่ามี ผมร่วง มากขึ้น ในช่วงเริ่มต้น 3-5 สัปดาห์แรกของการใช้ยาเนื่องจากยาไปกระตุ้นให้ผมใหม่งอกขึ้นมา จึงดันผมเดิมให้หลุดร่วงไป